อับเดตข่าวสารและโปรโมชั่นจาก maneedee.com

รวมเรื่องราวดีๆ สุขภาพ การกิน การอยู่ การใช้ชีวิต ปรัชญา เสริมกำลังใจ ที่นี้ maneedee.com

อยากมีเงินเก็บ อยากมีเงินออม อยากใช้เงินให้เพียงพอรับรายได้ วิธีเก็บเงิน วิธีออมเงิน แบบ มนุษย์เงินเดือน

DD1 170613

อยากมีเงินเก็บ อยากมีเงินออม อยากใช้เงินให้พอกับรายได้ ฉบับ มนุษย์เงินเดือน.........

 

 

เก็บเงินเพื่ออนาคต  เก็บเงินเพื่อสิ่งที่ดีกว่า  เก็บเงินเพื่อชีวิตบั้นปลาย  เก็บเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศในฝัน  เก็บเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่ต้องการ  เก็บเงินเพื่อลูก  เก็บเงินเพื่อทำธุรกิจของตัวเอง ไม่อยากเป็นลูกน้องใครอีกต่อไป ไม่ว่าเป้าหมายในการเก็บเงินของคุณจะเป็นแบบไหน ไม่ว่าปลายทางของคุณคืออะไร ไม่ว่าคุณจะเก็บเงินเพื่ออะไร ขอแค่วันนี้คุณเริ่มต้นเก็บเงิน รับรองว่าความฝันของคุณอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน......

 

ในสังคมสมัยนี้ สิ่งล่อตาล่อใจ ที่จะทำให้เงินในกระเป๋าเราหายไปในพริบตา มันช่างมีมากมายซะเหลือเกิน ยิ่งเป็นยุคโซเชียล ยุดสังคมออนไลน์ สังคม 4.0 ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เราเผลอใจไปกับการใช้เงินแบบไม่ทันคิดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

 

- การซื้อของออนไลน์ ที่สมัยนี้มันช่างซื้อง่าย ขายคล่องกันซะเหลือเกิน จนบางทีเราเผลอซื้อของที่ไม่จำเป็นอยู่บ่อยๆ หรือการไปช้อปปิ้ง พอกลับถึงบ้านหรือของมาส่งที่บ้าน หลายคนเคยรู้สึกแบบนี้ว่า ซื้อมาทำไม??? ซื้อมาแล้วเก็บจนลืม

- การไปทานอาหารนอกบ้าน ร้านอาหาร โรงแรม หรือทานบุฟเฟ่ต์ในห้าง ที่บางครั้งเรียกได้ว่าเกินความต้องการของมนุษย์ไปมากเหลือเกิน ทั้งที่ความจริงแล้วคนเราต้องการอาหารเพียงแค่อิ่ม

- การท่องเที่ยว ที่สมัยนี้ หลายคน ชอบที่จะไปเที่ยว เพียงเพื่อที่จะได้อัพรูปสวยๆ อวดใครๆ หรือพอเห็นเพื่อนคนนั้น คนนี้ ไปเที่ยว ก็อยากไปเที่ยวอย่างเขาบ้าง โดยไม่ได้คำนึงถึงรายได้ของตัวเอง 

 

และยังมีอีกหลายสิ่งที่ทำให้เราต้องใช้เงิน "เกินความจำเป็น" จนเงินไม่พอใช้ ต้องไปหยิบยืมคนอื่น หรือไปเป็นหนี้บัตรเครดิต สุดท้ายหนี้ที่สร้างมาก็พอกพูนขึ้นเป็นภูเขา ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดซักที หากเราไม่เลิกทำนิสัยแบบเดิมๆ หรือแบบที่แอดมินกล่าวมาข้างต้น สุดท้ายเราจะไม่เหลืออะไรเลย  แต่บางครั้งคนเราทำงานมาก็หนัก ก็ควรให้ความสุขตัวเองบ้าง ทานของอร่อยบ้าง ไปท่องเที่ยว พักผ่อนบ้าง ซื้อของที่อยากได้บ้าง ถือว่าให้รางวัลชีวิต แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ควรอยู่บนรายได้เป็นที่ตั้ง ไม่ควรทำอะไรเกินตัว........ 

 

การเป็นมนุษย์เงินเดือน แน่นอนที่สุด รายได้ทางเดียวคือ "เงินเดือน" นอกซะจากว่าคุณมีอาชีพเสริมอื่นๆ แต่หากใครไม่ได้มีอาชีพเสริม คุณจะต้องหัดบริหารเงินเดือนของคุณ ให้เหลือเก็บให้ได้มากที่สุด และแบ่งไปใช้ในส่วนที่ควรจะให้รางวัลชีวิตบ้าง อย่าลืมว่าบริษัท ไม่ได้จ้างคุณไปตลอด วันนึงคุณก็ต้องเกษียรณ หรือบางทีเลวร้ายกว่านั้นคือ ตกงาน (ที่อาจเป็นได้จากสารพัดสาเหตุ) ฉะนั้น มนุษย์เงินเดือนจึงควรมีเงินเก็บ อย่างน้อยๆ ก็ควรมีเก็บซัก 10 เท่าของเงินเดือน  เพื่อให้เรามั่นใจว่า หากวันนึงตกงาน เรายังมีเงินตรงนี้ไว้ใช้ ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่อยังไง หรือจะหางานใหม่ได้เมื่อไหร่ 

 

เก็บเงิน ออมเงิน เริ่มปฏิวัติตัวเอง ตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่วันข้างหน้าจะได้สบาย

การเก็บเงิน ออมเงิน ทุกคนสามารถทำได้ ไม่มีใครที่มีงานทำ มีเงินเดือน แล้วจะไม่สามารถเก็บเงินได้ คนที่บอกว่าจะเอาที่ไหนมาเก็บ หนี้สินเยอะแยะ แค่กินข้าวยังจะไม่พอ รู้มั้ยว่า เพียงแค่คุณเริ่มเก็บเดือนละ 10 บาท ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นเก็บเงินแล้วนะ 

 

ให้เราระลึกไว้เสมอว่า...การเก็บเงินไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตัวเราเอง หลายคน พอเงินเดือนออก ก็จัดเต็ม ทั้งกิน ช้อป เที่ยว โดยที่ไม่ได้คำนวณว่าจะพอใช้กินอยู่ และจ่ายหนี้สิน ทั้งเดือนรึเปล่า

 

มาเริ่มต้นเก็บเงินไปด้วยกัน เมื่อได้รับเงินเดือนแล้ว เราจะต้องทำยังไงต่อไป???? 

1. สิ่งแรกที่ควรทำ คือ เขียนรายจ่ายจำเป็น ทั้งหมดลงกระดาษ อาทิ

- ค่าที่พัก (จะเช่าหรือผ่อนอยู่ในนี้หมด)

- ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ท

- ค่าโทรศัพท์ 

- ค่าเดินทางไปทำงาน (ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมันรถ หรือค่ารถโดยสาร) 

- ค่ากิน เอาแบบ ที่กินเพื่ออยู่จริงๆ อาหาร 3 มื้อ ไม่รวมขนมหรือเครื่องดื่มอย่างอื่นๆ

- ค่าอื่นๆ จำเป็น เช่น ค่ายา ค่าของใช้ส่วนตัว ค่าข้าวสาร ให้พ่อแม่ ให้ลูก ฯลฯ

 

**เมื่อเขียนข้อมูลข้างต้นเสร็จแล้ว ลองบวกดู คุณจะพบว่าในแต่ละเดือนค่าใช้จ่ายมีมากแค่ไหน และเมื่อหักรายจ่ายจำเป็นเหล่านี้แล้ว เราจะเหลือเงินเท่าไหร่ (การทำแบบนี้จะทำให้คุณรู้ว่า สรุปเงินเดือนที่ได้มาทุกเดือน จริงๆ แล้วมันพอใช้รึเปล่า ถ้าหักค่าใช้จ่ายจำเป็นแล้วติดลบ

แนะนำว่า คุณควรหางานใหม่ได้เลย หรือไม่ก็ต้องหาอาชีพเสริม)

 

2. หลังจากหักค่าใช้จ่ายจำเป็นแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็น (คือใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ไม่ตาย) หักค่าต่างๆ เหล่านี้ไว้ เช่น

- ค่าขนม นม เนย เครื่องดื่มแก้วโปรด (สตาร์บัคส์เอย ชานมไข่มุขเอย ผลไม้ปั่นเอย น้ำอัดลมเอย ฯลฯ) 

- ค่ากินอาหารมื้อพิเศษ จะฉลองกับเพื่อน จะนัดเดทกับแฟน หรือเลี้ยงครอบครัว บุฟเฟ่ต์ KFC พิซซ่า ชาบู อยู่ในข้อนี้หมด

- ค่าหวย ค่าล็อตเตอรี่ (เสี่ยงดวง กันหน่อย เอาแค่พอได้ลุ้นสนุกๆ อะนะ)

- ค่าช้อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า ซื้อของสนอง Need ตัวเอง

 

**แอดมินซื้อล็อตเตอรี่ งวดละ 1 ใบคะ ฝันอยากถูกรางวัลที่1 ถ้าไม่ซื้อ คงไม่มีโอกาสถูก ฉะนั้นงวดละใบพอคะ ส่วนเครื่องดื่มต่างๆ แอดมินแทบไม่ซื้อดื่มเลยตั้งแต่เข้าโหมดประหยัดตังค์ แต่บางครั้งอยากทานจริงๆ ก็ซื้อนะคะ ส่วนการทานอาหารนอกบ้าน เดือนละ 1 ครั้งเท่านั้นคะ บางเดือนไม่ไปเลย บางเดือน 2 ครั้งก็มี (ขึ้นอยู่กับว่าในเดือนนั้นๆ มีเงินเหลือเยอะแค่ไหน) เรื่องช้อปปิ้งนี่น้อยมากคะ โอกาสพิเศษจริงๆ ถึงจะช้อป ในส่วนของการซื้อของชิ้นใหญ่ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือของแพงๆ จะใช้เงินเก็บซื้อเท่านั้น ไม่ผ่อนเด็ดขาดคะ เพราะการผ่อนเท่ากับการใช้เงินอนาคต เป็นความเสี่ยงที่แอดมินไม่โอเค เกิดวันนึง อยู่ดีๆ เราตกงาน แล้วยังมีของก็ต้องผ่อนอยู่ แบบนี้ตายแน่ๆ

 

3. ข้อสุดท้าย คือ เงินเก็บ

แอดมินไม่ได้หมายถึง เงินเดือน ลบ ข้อ 1. ข้อ 2. แล้วเหลือเป็นเงินเก็บ ข้อ 3. นะ เพราะเชื่อว่าหลายคนอาจเหลือเป็น 0 บาทแน่ๆ แต่!!!!!!! เงินเก็บเนี้ย ขึ้นอยู่กับคุณเลยว่า คุณจะสามารถประหยัดเงินตรงส่วนไหนได้บ้างในข้อ 2. ถ้าคุณประหยัดได้เยอะ คุณก็มีเงินเก็บเยอะ เพราะรายจ่ายในข้อ 2. ล้วนแต่เป็นรายจ่ายที่มันไม่ได้จำเป็นในชีวิตขนาดนั้น  รายจ่ายในข้อ 2 ถ้าลดได้เยอะ ก็จะเหลือเก็บเยอะนะคะ

 

แล้วเมื่อคุณเก็บแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกเดือน ทุกเดือน พอเงินเก็บเริ่มแตะหลักหมื่นต้น หมื่นปลายๆ จนถึงหลักแสน คุณจะยิ่งใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายน้อยลง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่สำหรับแอดมินเป็นเพราะ แอดมินอยากเห็นเงินเก็บเยอะๆ ตามเป้าที่ตั้งไว้เร็วๆ คะ และเมื่อเราเก็บเงินได้ประมาณนึง เราจะสามารถมองหาลู่ทาง ในการหาเงินเพิ่ม ในการทำอาชีพเสริมได้ง่ายขึ้น เพราะทุนเรามีอยู่แล้ว เห็นโอกาสให้การทำอาชีพเสริมเมื่อไหร่ ก็สามารถทำได้เลย หรือ หากวันนึงเราจำเป็นต้องซื้อของชิ้นใหญ่ หรือจำเป็นต้องใช้เงินแบบฉุกเฉิน เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหยิบยืมใคร ไม่ต้องเป็นหนี้ใครนะคะ

 

**แอดมินไม่ชอบที่จะเก็บเงินแบบบังคับตัวเองเกินไป จึงทำแบบด้านบนคะ คือบางคนเงินเดือนออกแล้วหักเงินเก็บเลย อันนี้แอดมินไม่ทำ เพราะรู้สึกว่ามันกดดันตัวเองเกินไป จนบางครั้งทำให้รู้สึกว่าชีวิตเรา ก็ควรให้ความสุขกับตัวเองบ้าง แต่ก็ต้องอยู่ในขอบเขต เพราะยังไงเราก็ควรนึกถึงอนาคตของเราไว้บ้าง

**ในช่วงแรกของการเก็บเงินของแอดมิน แอดจะนำเงินที่เก็บได้ไปซื้อสลากออมสินคะ ได้ออมเงิน ได้ดอกเบี้ย แถมได้ลุ้นรางวัล (ดูรายละเอียดการซื้อสลากได้ที่นี่คะ แอดมินได้เขียนบทความไว้ให้เพื่อนๆ ได้ศึกษาด้วยคะ)

 

แอดมินขอให้ทุกคน เก็บเงินกันให้ได้เยอะๆ นะคะ สู้ๆ เพื่อเป้าหมายของเราคะ แค่วันนี้เราเริ่มต้นก้าวแรกของการเก็บเงิน จุดหมายปลายทางที่เราฝันไว้ มันอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนคะ

 

** เขียนโดย แอดมิน...มานี่ดีดอทคอม **

13/06/2017

DD2 170613

 

###############################################

 

ยังมีโปรโมชั่นอื่นๆ ที่คุณไม่ควรพลาดอีกมากมาย แยกตามหมวดหมู่ ดังนี้ 

โปรโมชั่น ร้านอาหาร ฟาสฟู้ด ชาบู ปิ้งย่าง บุฟเฟ่ต์ เบอร์เกอร์ ฯลฯ

โปรโมชั่น เครื่องดื่ม กาแฟ ชา นม เบเกอรี่ ขนม โดนัท เค้ก ฯลฯ

โปรโมชั่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าในห้าง โลตัส บิ๊กซี เซเว่น เดอะมอลล์ เซ็นทรัล ฯลฯ

โปรโมชั่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง แฟชั่น แบรนด์ดัง ฯลฯ

โปรโมชั่น โรงภาพยนตร์ ตั๋วหนัง ชุดป๊อปคอร์น สวนสนุก โรงแรม ที่พัก ฯลฯ

สิทธิพิเศษสำหรับ บัตรสมาชิกต่างๆ (บัตรสมาชิก ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ)

สิทธิพิเศษ บัตรเครดิต (กสิกรไทย กรุงไทย ไทยพาณิชย์ TMB กรุงเทพ ฯลฯ)

สิทธิพิเศษสำหรับ ผู้ใช้เครือข่ายมือถือ ( DTAC AIS TRUE)

ชิงรางวัล ชิงโชค ลุ้นโชค

งานแสดงสินค้า

 

ลุ้นโชค สลากออมสิน และ สลากธกส ดอกเบี้ย ผลตอบแทน รางวัล การรับฝาก

 

รออัพเดท

 

###############################################

 

ยังมีโปรโมชั่นอื่นๆ ที่คุณไม่ควรพลาดอีกมากมาย แยกตามหมวดหมู่ ดังนี้ 

โปรโมชั่น ร้านอาหาร ฟาสฟู้ด ชาบู ปิ้งย่าง บุฟเฟ่ต์ เบอร์เกอร์ ฯลฯ

โปรโมชั่น เครื่องดื่ม กาแฟ ชา นม เบเกอรี่ ขนม โดนัท เค้ก ฯลฯ

โปรโมชั่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าในห้าง โลตัส บิ๊กซี เซเว่น เดอะมอลล์ เซ็นทรัล ฯลฯ

โปรโมชั่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง แฟชั่น แบรนด์ดัง ฯลฯ

โปรโมชั่น โรงภาพยนตร์ ตั๋วหนัง ชุดป๊อปคอร์น สวนสนุก โรงแรม ที่พัก ฯลฯ

สิทธิพิเศษสำหรับ บัตรสมาชิกต่างๆ (บัตรสมาชิก ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ)

สิทธิพิเศษ บัตรเครดิต (กสิกรไทย กรุงไทย ไทยพาณิชย์ TMB กรุงเทพ ฯลฯ)

สิทธิพิเศษสำหรับ ผู้ใช้เครือข่ายมือถือ ( DTAC AIS TRUE)

ชิงรางวัล ชิงโชค ลุ้นโชค

งานแสดงสินค้า

 

 
 

งึด แปลว่า อะไร ความหมายของคำว่า งึด ภาษาอีสานสุดจี๊ด โดนใจวัย คนไทยยุค social

Ngued

ภาษาอีสาน...ยอดฮิต

 

 

 

"งึดหลาย  งึดคัก  บ่งึด"

 

หลายๆ คนคง เคยได้ยิน ได้เห็น ประโยคเหล่านี้ ผ่านหู ผ่านตา มาไม่มากก็น้อย เพราะว่าเป็น คำฮิตที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ในโลก Social ไม่ว่าจะ facebook instagram twitter line ฯลฯ บางคนไม่ใช่คนอีสาน แต่ก็ชอบพูดคำนี้ออกมา เพราะเป็นคำที่พูดง่าย ซึ่งหลายครั้ง หลายคนก็คงเกิดคำถามขึ้นในใจ และไม่รู้จะถามใครว่า คำว่า  งึด จริงๆ แล้วมีความหมายว่าอย่างไร

 

 

งึด คืออะไร งึด มีความหมายอะไร

 

คำว่า งึด นั้น เป็นภาษาอีสาน ที่ใช้กันโดยแพร่หลาย มาอย่างยาวนาน

โดยคำว่า งึด ใช้แสดงแทนความรู้สึกเมื่อเจอเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย คาดไม่ถึง เกินบรรยาย ทั้งพอใจ และไม่พอใจ , เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ , เหตุการ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้ว

 

อาจใช้กับเหตุการณ์ การกระทำพฤติกรรม ทั้งของคน หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็ได้ตามสะดวก และคนอีสาน มักจะมีคำอื่นมาใช้คู่กับคำว่า งึด ด้วยเสมอ เพื่อแสดงความรู้สึกที่ชัดขึ้น อย่างเช่น งึดหลาย , งึดคัก , งึดแท้ , เป็นตางึด , งึดอีหลี , งึดขนาด ฯลฯ เป็นต้น

 

 

และบางครั้งจะมีการเติมคำว่า "บ่" นำหน้าคำว่า "งึด" รวมเป็น "บ่งึด" 

 

สำหรับคำว่า บ่งึด นี้จะมีความหมายแตกต่างจากที่กล่าวมาด้านบน คำว่า บ่งึด เป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงการไม่สนใจ หรือไม่แคร์ ต่อเหตุการณ์ หรือการกระทำนั้นๆ เช่น

- อยากเฮดหยั่งกะเฮดโล้ด บ่งึดดอก หมายถึง อยากทำอะไรก็เชิญเลย ฉันไม่สนใจหรอก

- กูบ่งึด หมายถึง ฉันไม่สนใจ , ฉันไม่ใส่ใจ , ฉันไม่แคร์

 

 

กินเจ เพื่ออะไร ทำไมต้อง กินเจ และ กินเจ ปี 2566 เริ่ม วันไหน ถึง วันที่เท่าไหร่

เทศกาลกินเจ

 

 

 

เทศกาลกินเจ ประจำปี 2566

 

เทศกาลกินเจ ประจำปี 2566 เริ่มวันอาทิตย์ ที่ 15 ตุลาคม 2566 ถึงวันจันทร์ ที่ 23 ตุลาคม 2565 (ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ถึง วันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามหลัของปฏิทินจีนให้เป็นวันกินเจ) แต่สำหรับบางท่าน จะเริ่มกินตั้งแต่มื้อเย็นของวันก่อนวันเริ่มเทศกาลกินเจ ซึ่งก็คือวันเสาร์ ที่ 14 ตุลาคม 2566 หรือที่เรียกว่า ล้างท้อง ก่อนกินเจนั่นเอง

 

 

 

การเตรียมตัวก่อนกินเจ หรือ ล้างท้อง ก่อนกินเจ

 

ซึ่งโดยปกติแล้ว ก่อนถึงเทศกาลกินเจ จะมีการเตรียมตัวก่อนกินเจ 1-2 วัน หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า ล้างท้อง ก่อนกินเจ 

การล้างท้องก่อนกินเจ คือ การกินเจก่อนถึงวันเทศกาลเจจริงประมาณ 1-2 วัน โดยส่วนมากจะนิยมล้างท้องโดยงดเว้นเนื้อสัตว์ ผัก และอาหารต้องห้ามทุกชนิดก่อนกินเจจริง ๆ 1 วัน เพื่อชะล้างเนื้อสัตว์ หรืออาหารคาวต่าง ๆ ที่ตกค้างอยู่ในร่างกายออกให้หมดสิ้น เมื่อถึงวันถือศีลกินเจ ร่างกายจะได้สะอาด พร้อมถือศีลกินเจตามประเพณี หรือหากยังไม่สามารถละเว้นเนื้อสัตว์ได้ในทันที อาจปรับทีละน้อย โดยเปลี่ยนจากการทานเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว มาทานเป็นเนื้อปลา และเน้นทานโปรตีนจำพวกถั่วต่าง ๆ พร้อมกับเพิ่มผักผลไม้ลงไปในมื้ออาหาร เพื่อให้ระบบย่อยอาหารเริ่มปรับตัวก็ได้เช่นกัน

 

แต่สำหรับด้านสุขภาพ ทางนักโภชนาการ ได้แนะนำให้มีการเตรียมตัวก่อนกินเจ โดยควรเตรียมตัวก่อนกินเจ ประมาณ 3 - 4 วัน  เพื่อให้ร่างกายและระบบทางเดินอาหารค่อย ๆ ปรับตัว ควรเพิ่มการกินผักให้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ เปลี่ยนจากเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เป็นปลา ไข่ นม ถั่วเมล็ดแห้ง ตามลำดับ

 

ทั้งนี้ หลักโภชนาการที่ต้องใส่ใจเมื่อกินเจ คือ 1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารหนึ่งจาน ควรประกอบไปด้วย โปรตีน จากถั่วเมล็ดแห้ง คาร์โบไฮเดรต จากข้าวแป้ง วิตามินและแร่ธาตุ จากพืชผัก ผลไม้ และไขมัน จากน้ำมันแต่พอดี 2. ต้องมั่นใจว่าได้สารอาหารโปรตีนจากถั่วเมล็ดแห้งอย่างเพียงพอ ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ โปรตีนเกษตร ถั่วและผลิตภัณฑ์จากถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด กินขนมที่ทำจากถั่ว เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาลทรายแดง เต้าส่วน ขนมถั่วแปบ ถั่วกวน เป็นต้น

 

 

กินเจ คือ อะไร ?

 
เทศกาล กินเจ หรือ กินแจ บางแห่งเรียกว่า ประเพณีถือศีลกินผัก เป็นประเพณีแบบลัทธิเต๋ารวม 9 วัน กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ เริ่มต้นตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีนของทุกปี มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนมานานแล้ว โดยมีตำนานเล่าขานกันหลายตำนาน ปัจจุบัน เทศกาลกินเจจัดขึ้นในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย และไทย ตลอดจนหมู่เกาะรีออในอินโดนีเซียและอาจมีในบางประเทศเอชีย เช่น ภูฏาน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ซึ่งการกินเจในเดือน 9 นี้ เชื่อกันว่าน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2170 ตรงกับสมัยอาณาจักรอยุธยา

 

 

ประวัติของเทศกาลกินเจ

 

ประเพณีถือศีลกินเจ หรือ กินเจ ซึ่งเป็นพิธียันตรกรรมบูชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยอาศัยพระแม่แห่งดวงดาวมารีจี ในแบบของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน แต่ในทางลัทธิเต๋าเรียกว่า เต้าโบ้หงวนกุนหรือเต้าโบ้เทียนจุน ในภาษาฮกเกี้ยน เป็นศูนย์กลางสมมติของพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ มักอิงประวัติผูกติดอยู่กับฝ่ายตำนานเทพแห่งดาวนพเคราะห์มากกว่า ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งลัทธิเต๋า
 
ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่เมืองจีน นับจากนั้นเป็นต้นมาเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญขึ้น จึงปรากฏตำนานความเชื่อที่ผูกโยงกับพระพุทธเจ้า 9 พระองค์และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ เรียกว่า กิ้วอ้วงฮุดโจ้ว ในภาษาจีนแต้จิ๋ว โดยคติความเชื่อในประเพณีของชาวจีน โดยเฉพาะลัทธิขงจื้อซึ่งเน้นในเรื่องบรรพบุรุษและความกตัญญู บรรดาบูรพกษัตริย์ที่เคยอุทิศตนเพื่อให้ประชาชนมีความเจริญโดยใช้หลักเมตตาธรรมก็จะเป็นบุคคลผู้ได้รับการสรรเสริญจากประชาชน
 
ตามตำนานสามารถรวบรวมได้ 9 พระองค์ ซึ่งอยู่ในยุคสมัยต่างๆกัน ทั้ง 9 พระองค์รวมเรียกว่าพระราชาธิราช 9 พระองค์ ในภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า : กิ๋วอ๋องไต่เต่ ซึ่งชาวจีนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นธรรมชาติและดำเนินไปตามวิถีแห่งสวรรค์ อาศัยตามความเชื่อในลัทธิเต๋า จึงส่งผลให้เกิดการนับถือดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ พระเจ้าแผ่นดินทั้งเก้าพระองค์เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ได้ประกอบกรรมดีมากมาย เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วจึงได้จุติเป็นเทพเจ้าประจำดาวนพเคราะห์ ทำหน้าที่คุ้มครองมวลหมู่ประชาราษฎร์ให้บังเกิดความร่มเย็นสืบไป

 

 

ความหมายของ คำว่า "เจ"

 

คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนานิกายมหายาน มีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่ถืออุโบสถศีล หรือ รักษาศีล 8 โดยไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธนิกายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็นการถือศีลกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ ฉะนั้นความหมายก็คือ คนกินเจมิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

 

 

จุดประสงค์ของการ กินเจ

 
ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
 
1. กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
 
2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
 
3. กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

 

 

อาหารเจ

 

อาหารเจ คือ

- อาหารเจเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นโดยไม่มีเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ (เช่น นม ไข่ น้ำผึ้ง น้ำปลา เจลาติน คอลลาเจน)

- และไม่ปรุงด้วยผักที่มีกลิ่นฉุน ได้แก่ กระเทียม หอม (ทุกชนิดอาทิ ต้นหอม หัวหอม หอมแดง) หลักเกียว กุยช่าย และใบยาสูบ บ้างก็รวมผักชีและเครื่องเทศรสเผ็ดร้อนเข้ามาด้วย เพราะผักเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อธาตุในร่างกาย บ้างเชื่อว่าผักเหล่านี้เพิ่มความกำหนัดหรือมาจากเลือดของสัตว์ตามตำนานจีน  ทำให้อาหารเจไม่มีกลิ่นคาว เนื่องจากการงดเนื้อสัตว์ ทำให้ผู้ที่กินเจหันมาบริโภคธัญพืชในธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งโปรตีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง  โดยในประเทศจีน พบว่ามีภัตตาคารบางแห่งซึ่งบริการ "ปรุงอาหารตามใบสั่งแพทย์" (กล่าวคือ ผู้ที่เข้ามารับประทานจะต้องได้รับใบสั่งอาหารของแพทย์เสียก่อน) โดยลูกค้าของภัตตาคารดังกล่าวเป็นคนไข้ที่กำลังเข้ารับ "การบำบัดโรคด้วยอาหารตามหลักเวชศาสตร์โบราณ" หลังเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว

 

อนึ่ง หอยนางรมก็สามารถนำมาทำเป็นอาหารเจได้ เนื่องจากเชื่อกันว่าเจ้าหญิงเมี่ยวซ่าน(พระโพธิสัตว์กวนอิม) ซึ่งพาประชาชนส่วนหนึ่งทีนับถือในพระพุทธศาสนาหนีจากการเข่นฆ่าจากพระเจ้าเมี่ยวจวงลงเรือออกทะเลไป พอนานๆวันเข้าเสบียงที่เตรียมมานั้นก็เริ่มจะหมดลงทุกทีจนหมด ผู้คนขาดอาหารเกิดความหิวโหย เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านทรงตั้งจิตอธิษฐานโดยเอาไม้พายจุ่มลงสู่ทะเลว่าหากสิ่งใดติดขึ้นมาก็จะทานสิ่งนั้นเป็นอาหาร ผลปรากฏว่ามีหอยนางรมติดไม้พายขึ้นมา ด้วยหอยนางรมเองก็ยอมปวารณาตนถวายแด่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านและเหล่าพุทธศาสนิกชน จากนั้นเป็นต้นมา หอยนางรมจึงสามารถทานเป็นอาหารเจได้ และถูกทำเป็นซอสปรุงอาหารผัดกับผักต่างๆ เช่น คะน้าน้ำมันหอย เป็นต้น

 

 

หลักธรรมในการกินเจ

 

ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้
 
การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเองและดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ
 

1. ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน

2. ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน

3. ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน

 

การรับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วย พิษภัยมากมาย
ดังนั้นการกินเจ  จึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้น  แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกันคนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่น ร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่

 

 

การปฏิบัติตนในช่วงกินเจ

 

ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้

1. รับประทาน "อาหารเจ"

2. งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก

3. รักษาศีลห้า

4. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์

5. ทำบุญทำทาน

6. นุ่งขาวห่มขาว

 
สำหรับผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้องตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด

 

 

สีในเทศกาลกินเจ

 

- สีแดง เป็นสีที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสีศิริมงคล ดังจะเห็นได้ว่าในงานมงคลต่างๆ ของคนจีนไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง วันตรุษจีน

- สีเหลือง เป็นสีสำหรับใช้ในราชวงศ์ซึ่งอนุญาตให้ใช้ได้เพียงคนสองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มแรกคือกษัตริย์ซึ่งเห็นได้จากหนังจีน เครื่องแต่งกายและภาชนะต่างๆ เป็นสีเหลืองหรือทองซึ่งคนสามัญห้ามใช้เด็ดขาด กลุ่มที่สองคืออาจารย์ปราบผีถ้าท่านสังเกตในหนังผีจีนจะเห็นว่าเขาแต่งกายและมียันต์สีเหลือง

- สีขาว ตามธรรมเนียมจีนสีขาวคือสีสำหรับการไว้ทุกข์ สีดำที่เราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เป็นการรับวัฒนธรรมตะวันตก ถ้าท่านสังเกตในพิธีงานศพของจีนจะเห็นลูกหลานแต่งชุดสีขาวอยู่

 

สีซึ่งกล่าวมาทั้งหมดนี้สามารถนำไปเชื่อมโยงในตำนานข้างต้นที่กล่าวมาได้ทั้งหมด

 

###########################################

 

สำหรับท่านที่กินเจ แอดมินมีโปรโมชั่นอาหารเจ มากมาย

ไว้ให้เลือกอร่อยกัน แบบไม่จำเจ คลิกที่ลิ๊งค์ด้านล่างได้เลยคะ

รวมโปรโมชั่น อาหารเจ จากร้านอาหารดังมากมาย ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

 

###########################################

 

ยังมีโปรโมชั่นอื่นๆ ที่คุณไม่ควรพลาดอีกมากมาย แยกตามหมวดหมู่ ดังนี้ 

โปรโมชั่น ร้านอาหาร ฟาสฟู้ด ชาบู ปิ้งย่าง บุฟเฟ่ต์ เบอร์เกอร์ ฯลฯ

โปรโมชั่น เครื่องดื่ม กาแฟ ชา นม เบเกอรี่ ขนม โดนัท เค้ก ฯลฯ

โปรโมชั่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าในห้าง โลตัส บิ๊กซี เซเว่น เดอะมอลล์ เซ็นทรัล ฯลฯ

โปรโมชั่น เสื้อผ้า เครื่องสำอาง แฟชั่น แบรนด์ดัง ฯลฯ

โปรโมชั่น โรงภาพยนตร์ ตั๋วหนัง ชุดป๊อปคอร์น สวนสนุก โรงแรม ที่พัก ฯลฯ

สิทธิพิเศษสำหรับ บัตรสมาชิกต่างๆ (บัตรสมาชิก ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ)

สิทธิพิเศษ บัตรเครดิต (กสิกรไทย กรุงไทย ไทยพาณิชย์ TMB กรุงเทพ ฯลฯ)

สิทธิพิเศษสำหรับ ผู้ใช้เครือข่ายมือถือ ( DTAC AIS TRUE)

ชิงรางวัล ชิงโชค ลุ้นโชค

งานแสดงสินค้า

 

 
 
 

โยเกิร์ตช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้นะ

Yoghurt
 
Q: ลูกสาวมีอาการท้องเสีย มีคนแนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตแทนยา วิธีนี้สามารถทำได้ไหมคะ ?
 
A: โดยปกติเรามักได้ยินว่าเมื่อมีอาการท้องเสียให้หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จำพวกนมหรือที่ทำจากนม แต่นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตต้องถือเป็นข้อยกเว้น เพราะถึงแม้จะทำจากนม แต่โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก (Probiotic) หรือจุลินทรีย์ที่มีชีวิต เช่น แลคโตบาซิลลัส บิฟิโดแบคทีเรียม บางชนิดบางสายพันธุ์ กลับเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหากได้รับในปริมาณที่เพียงพอซึ่งในกรณีท้องเสีย โยเกิร์ตประเภทนี้จะเข้าไปสร้างสมดุลในลำไส้และช่วยยับยั้งอาการปวดท้องหรือท้องเสียที่เกิดจากเชื้อโรคได้
 
อย่างไรก็ตาม การรับประทานโยเกิร์ตเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือดูแลไม่ให้ร่างกายขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่อรักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องรับประทานยาเสมอไป เพราะการขับถ่ายเป็นการระบายเชื้อโรคและของเสียออกจากร่างกาย การใช้ยาบางชนิดเพื่อหยุดการขับถ่ายในทันที อาจทำให้เชื้อโรคถูกกักอยู่ในร่างกาย และมีผลเสียติดตามมา รวมถึงการทำให้อาการต่างๆ หายช้าลง
 
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก bumrungrad.com ถาม&ตอบปัญหาสุขภาพ